แถลงการณ์คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ ฉบับที่ 3

          ดังที่ชาวสุวรรณโคมคำได้ทราบกันดีในช่วงที่ผ่านมาๆแล้วว่า มีกลุ่มคนคอยตามทำลายพระอาจารย์ โดยพวกเขาใส่ร้ายพระอาจารย์ด้วยเรื่องราวต่างๆมากมายอันเป็นเท็จ เช่น หาว่าพระอาจารย์เอาเงินส่วนรวม(กองกลาง)ของ สุวรรณโคมคำไปใช้ด้วยเรื่องส่วนตัวหมดแล้ว, เงินทำบุญผ้าป่าบ่อบาดาลและแท็งก์น้ำสูง พระอาจารย์ก็เอาไปใช้เองหมดแล้ว, เงินทำบุญผ้าป่าสร้างห้องน้ำ พระอาจารย์ก็ยักยอกเอาไปใช้หมด พุทธศาสนิกชนทั้งหลายอย่าร่วมทำบุญกับ พระอาจารย์ด้วยเรื่องใดๆ เลย จะถูกทุจริตยักยอกเอาไปใช้ในทางอื่นหมด แม้กระทั่งเงินทุนจดทะเบียนสำหรับก่อตั้ง มูลนิธิสุวรรณโคมคำ จำนวน 200,000 บาทที่ห้ามนำออกไปใช้โดยประการใดๆ ก็ถูกพระอาจารย์ที่สึกเป็นฆราวาส แล้วแอบย้อนกลับมาเบิกออกไปเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียหมดแล้ว แท้ที่จริงแล้ว ในที่ไกล่เกลี่ย พระอาจารย์เอาเรื่องจริงจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงมายืนยันถลักพวกเขาด้วยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงจนความจริงที่พวกเขาแอบก่อไว้มากมาย ทั้งที่ทำร้ายพระอาจารย์และส่วนรวมด้วย ทั้งก่อนและหลังที่แอบปลดพระอาจารย์ออกจากตำแหน่งประธานมูลนิธิ แต่ปกปิดไว้ไม่ให้ใครรู้เพราะมีเจตนาไม่ดีและทำไม่ดีไว้ด้วยพฤติกรรมอันเหิมเกริม เพราะเห็นพระอาจารย์ไม่อยู่จึงพากันคิดว่า พระอาจารย์ไปไม่รอดแล้ว ถูกฆ่าปิดปากไปตลอดกาลแล้ว ไม่มีใครรู้และห้ามปรามการทำชั่วของพวกเขาได้อีกแล้ว แท้ที่จริงแล้วพวกเขานั่นแลที่จ้องจะทุจริตยักยอกเอาผลประโยชน์ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำดังกล่าวเหล่านั้นมาเป็นของเขาและพวกพ้อง เพราะปลายปีพ.ศ.2553 ตอนที่พระอาจารย์กำลังถูก(พวกเขา)ใส่ความอย่างหนักหน่วงแสนสาหัสอยู่นั้น แต่พระอาจารย์ก็ยังตั้งใจพากเพียรสร้างทำห้องน้ำจำนวน 8 ห้องและบ่อบาดาลแท็งก์สูงเกือบเสร็จสมบูรณ์และจ่ายเงินตามงวดตามผลงานไปบางส่วนแล้ว พวกเขาคนหนึ่งแอบไปอายัดบัญชีมูลนิธิไว้ จนเมื่องานก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ตามเจตนารมณ์ที่จัดทำผ้าป่าและมีผู้บริจาคมาจนครบจำนวนเพื่อ “เจาะจง”สร้างบ่อบาดาลแท็งก์สูงและห้องน้ำโดยเฉพาะ ตามที่พวกเราทั้งหลายร่วมแรงร่วมใจกันบริจาคมา และพระอาจารย์ก็ขวนขวายสร้างทำตามนั้นด้วยความรับผิดชอบต่อหน้าที่และเคารพในทานด้วยวิริยะอุตสาหะจนเสร็จสมบูรณ์ดีแล้วก็จะเบิกเงินทำบุญดังกล่าวที่เข้าบัญชีมูลนิธิไว้ตามกติกามาจ่ายตามนั้น แต่ก็ปรากฏว่าเบิกไม่ได้เพราะถูกหนึ่งในพวกเขาอายัดบัญชีไว้โดยให้เหตุผลกับธนาคารว่าเพื่อไม่ให้พระชั่ว (คือพระอาจารย์) ทุจริตยักยอกเงินทำบุญส่วนรวมของมูลนิธิไปใช้ส่วนตัวได้อีก(ธนาคารบอก) เมื่อพระอาจารย์ได้ทราบดังนั้นก็ติดติดต่อไปยังกรรมการมูลนิธิท่านนั้น(ท่านอื่นที่เหลืออีก 5 คนเขาประกาศลาออกกันไปก่อนหน้านี้หมดแล้ว โดยมีเจตนาทิ้งให้พระอาจารย์แบกองค์กรอย่างยากลำบากและไปไม่รอดเอง)แต่ก็ได้รับคำตอบแบบเดียวกันกับที่ธนาคารบอก ทั้งๆที่พระอาจารย์ท่านก็บอกแล้วบอกอีกตั้งหลายครั้งว่าเงินนั้นเป็นเงินทำบุญเจาะจงสร้างสิ่งก่อสร้างดังกล่าวเหล่านั้นทั้งสิ้น(ซึ่งพวกเขาก็ทราบดีอยู่)เมื่อทำเสร็จสมบูรณ์แล้วก็ต้องนำออกมาจ่ายตามนั้นโดยสุจริต จะบิดพลิ้วใดๆมิได้ เรามิใช่เจ้าของเงิน ผู้บริจาคทั้งหลายต่างหากเป็นเจ้าของเงิน อย่าได้ทำทุจริตใดๆต่อเจ้าของเงินเด็ดขาด ขอให้เห็นแก่ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำและพระพุทธศาสนาด้วย แต่ก็ได้รับคำตอบที่หยาบคายเช่นเดิมและเขาคนนั้นก็ย้ำอีกด้วยว่า “ดูซิ ! พระอาจารย์ จะมีทางดิ้นรนทำอะไรเพื่อส่วนรวมได้อีก”เมื่อพวกเขาขจัด(แอบปลด)พระอาจารย์สำเร็จแล้ว พวกเขาก็ฮุบเอาสิ่งต่างๆของสุวรรณโคมคำไป แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดเพราะยังไม่ทันที่การไกล่เกลี่ยในศาลจะเสร็จสมบูรณ์ พวกเขาก็แอบไปถอนเงินออกมาจนหมด(ซึ่งผิดหลักการทั่วไป มีพิรุธอย่างมาก)แล้วไปเปิดบัญชีใหม่ในที่ใหม่ แต่ตอนที่เจรจาไกล่เกลี่ยกันในศาลเขาก็รับปากรับคำว่าจะไปถอนอายัดบัญชีร่วมกับพระอาจารย์เพื่อนำมาจ่ายค่าก่อสร้างที่ค้างไว้โดยสุจริตและมีบันทึกข้อตกลงว่าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในไม่เกินวันที่เท่านั้นเท่านี้ทั้งๆ ที่ ที่จริงแล้วพวกเขาแอบไปเบิกเงินออกมาก่อนจนหมดเป็นเวลานับเดือนๆแล้ว พวกเขาเจรจาโกหกปลิ้นปล้อนต่อหน้าพระอาจารย์และศาลได้อย่างไม่สะทกสะท้านในบาปกรรมใดๆ ที่พวกเขาก่อเลยสักนิด คิดแต่จะล่อหลอกให้พระอาจารย์ไปถอนแจ้งความให้ได้ สุดท้ายเมื่อเห็นว่าความชั่วของพวกตนจะถูกเปิดเผยมากเกินไปแล้ว ก็เลยรีบถอนฟ้องพระอาจารย์แล้วหลบลี้หนีหน้าและละเมิดข้อตกลงต่างๆ (เพื่อส่วนรวม)ในศาล หลบหนีไปโดยคิดว่าพระอาจารย์ไม่รู้เท่าทันต่อสิ่งต่างๆที่พวกเขาก่อกรรมและทุจริตบิดเบือนกันไว้ แท้จริงแล้ว พระอาจารย์ท่านทราบมิใช่น้อย แต่เพราะสงสารพวกเขาเหล่านั้นและไม่อยากให้คนอื่นมองภาพว่า สุวรรณโคมคำที่ประกาศตนว่าเป็น “แนวพุทธ” ทะเลาะกันเอง จึงยอมอดทนเจรจาเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขาได้กลับตัวกลับใจ โดยหวังลึกๆว่าเมื่อพวกเขาได้สิ่งต่างๆสมใจแล้วก็จะหันมาทำความดีเพื่อส่วนรวมตามที่ทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ในที่ไกล่เกลี่ยเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมของสุวรรณโคมคำ รวมถึงของพระพุทธศาสนาและมหาชนสืบไป 
แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ไม่ใช้โอกาสที่ได้รับนั้นมาทำความดีใดๆ พวกเขาแอบเบิกเงินไปแล้วก็ยังไม่ยอมเปิดเผยและก็ยังไม่ยอมจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่ทำการก่อสร้างจนสำเร็จเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยประการใดๆ ได้แต่ใช้เล่ห์กลโกหกล่อหลอกช่างเหล่านั้นให้รอไปวันๆ 
พวกเขาเอาเรื่องเท็จ(เรื่องปาราชิก)มาแอบปลดพระอาจารย์และใส่ความสารพัดซึ่งไม่เป็นความจริง โดยพวกเขาอ้างว่า “พวกเขาเข้ามาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของมูลนิธิและธรรมสถาน ” แต่บัดนี้เหตุการณ์กลับเป็นว่า ตั้งแต่พวกเขาได้มูลนิธิและธรรมสถานไป พวกเขาก็ทำให้ธรรมสถานรกร้างเละเทะแทบไร้การดูแลและไร้กิจกรรมการปฏิบัติเผยแผ่ธรรมะใดๆ จนเสี่ยงต่อการถูกสปก.ยึดคืนเพราะไม่ได้ทำตามเอกสารโครงการที่ยื่นขออนุมัติจัดตั้งไว้ ไม่มีเงินทุนและบุคลากรส่งไปสนับสนุนส่งเสริมตามโครงการเลย แถมบอก(โกหก)ช่างที่ทำการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วตามเจตนารมณ์ที่พวกเราชาวพุทธหลายพันคนร่วมบริจาคกันไปว่า “มูลนิธิไม่มีเงิน” ให้มาขนแท็งก์น้ำ เป็นต้น กลับไปซะ และจะไม่จ่ายให้แม้กระทั่งค่าขนย้ายเพราะ “ไม่มีเงิน” แล้วเงินทำบุญเจาะจงสิ่งก่อสร้างเหล่านั้นที่ยังมีอยู่ในบัญชีหายไปไหนหมด ? ใคร“โกง”เงินบริจาคเหล่านั้นไป ล่าสุดไม่เว้นแม้แต่เงินทุนจดทะเบียนจำนวน 200,000 บาทก็ถูกแอบเบิกออกไปถลุงแล้วจำนวนมาก จนมูลนิธิอาจถูกราชการสั่งยุบก็เป็นได้ ตลอดมาในสมัยพระอาจารย์สิ่งเหล่านั้นถูกนำไปใช้สร้างสรรค์สิ่งดีงามสารพัดครบถ้วนทุกบาททุกสตางค์ตามเจตนารมณ์มิได้ตกหล่นจนมูลนิธิและธรรมสถานมั่นคงขึ้นๆ ทุกปี แต่พอพวกเขาเข้ามาดูแลจัดการไม่ทันถึงปีก็พินาศขนาดนี้แล้ว พวกเขาเจตนาเข้ามาเพื่อ “รักษา” หรือ “กอบโกย” กันแน่ ใครกันแน่ที่ไม่น่าไว้วางใจ ใครกันแน่ที่ไม่น่าร่วมทำบุญด้วย ทั้งๆ ที่ในที่ไกล่เกลี่ยพวกเขาก็รับปากด้วยวาจากับพระอาจารย์หลายครั้งหลายคราว่าจะไปถอนอายัดด้วยกันและนัดช่างต่างๆมารับค่าก่อสร้างตรงที่ถอนอายัดนั้นเลยเพื่อความโปร่งใส เพราะพระอาจารย์ท่านก็ย้ำอย่างชัดเจนว่า ท่านจะได้ทำหน้าที่รับผิดชอบต่อการทำบุญและการก่อสร้างนั้นๆให้เสร็จสมบูรณ์ครบถ้วนตามกระบวนการทุกอย่างอย่างเต็มภาคภูมิและหมดภาระเสียที จากนั้นไปก็ขอให้พวกเขาช่วยกันดูแลมูลนิธิและธรรมสถานต่อไปให้จงดี อย่าให้มีอะไรเสียหายได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ผิดสัจจะทุกทีไป จนในที่สุดถึงกับต้องทำบันทึกกันเป็นลายลักษณ์อักษรซึ่งพวกเขาก็ตกลงด้วยดีอีก2ครั้ง2ครา แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็รีบถอนฟ้องแล้วหลบลี้หนีหน้าไปไม่รักษาสัจจะใดๆที่ได้ทำกันไว้ สิ่งต่างๆที่พวกเขาใส่ความพระอาจารย์ไว้มากมาย สุดท้ายแล้วในความเป็นจริงพวกเขานั่นแหล่ะเป็นคนลงมือก่อกรรมทำชั่วนั้นๆเสียเองหมด แม้แต่เรื่องมนต์ดำและอวิชชาที่พระอาจารย์ถูกใส่ความว่า “ท่านทำใส่”คนนั้นคนนี้ แท้จริงแล้วท่านไม่เคยทำและไม่เคยสนใจหรือศึกษาศาสตร์เหล่านั้นเลย และท่านเคยปรามพวกเขาเป็นระยะๆด้วยว่า “ห้ามใช้อวิชชาและมนต์ดำใดๆ เราเป็นชาวพุทธนะ ให้เลิกละเสีย”บัดนี้พวกเขาหางโผล่อีกจนได้ เพราะพออับจนหนทางเข้าพวกเขาก็เปิดเผยตัวตนออกมาจนได้ เช่น ทำตะกรุด(ครอบงำคน) เป็นต้น พวกเขานั่นแลที่แอบทำมนต์ดำใส่คนนั้นคนนี้ แล้วป้ายสีมาที่พระอาจารย์ แม้แต่ วิชาสุวรรณโคมคำต่างๆ เช่นโหราศาสตร์แนวพุทธ เป็นต้น พวกเขาก็ได้ไปน้อยเพราะพระอาจารย์ท่านเห็นว่าพวกเขามีภูมิจิตภูมิธรรมที่ยังอ่อนอยู่มาก คุณธรรมก็ยังไม่ถึงขั้น จึงยังไม่ได้สอนต่อนัก ได้แต่ย่ำฐานให้แน่นไปพลางๆ ก่อน สุดท้ายพวกเขาก็อดทนรอเอาไม่ได้ จึงใช้วิธีแย่งยื้อเข้ายึดครองและเอาสิ่งอื่นๆเข้ามาปลอมปนเปไป แล้วแอบอ้างว่าเป็นวิชาสุวรรณโคมคำ
พระอาจารย์จึงไม่มีทางหลีกเลี่ยง เพื่อไม่ให้ส่วนรวมเสียหายไปมากกว่านี้ จึงจำเป็นต้องจัดการพวกเขาให้เด็ดขาดไปด้วยกระบวนการทางกฎหมาย “ช็อตแรก” ฟ้องร้องไป 5 คดี เพราะพวกเขาก่อกรรมทำทุจริตผิดศีลธรรมและกฎหมายกันไว้ต่างๆมายมายนับกระทงและคดีไม่ถ้วน แม้กระทั่งพระรูปหนึ่งในวัดยานฯที่ร่วมแก๊งใส่ความพระอาจารย์ก็โดนฟ้องข้อหา“เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ”ด้วย(นี่ยังไม่นับรวมคดีที่พวกช่างต่างๆจะฟ้องร้องมูลนิธิอีกด้วย)พระอาจารย์ท่านสร้างทำทุกสิ่งให้สุวรรณโคมคำ จากสิ่งที่ไม่มีอะไรเลยมาจนกระทั่งเป็นรูปเป็นร่างมั่นคง บัดนี้ท่านก็มิได้เรียกร้องเอาอะไร แม้แต่ตำแหน่งประธานมูลนิธิท่านก็มิได้ยึดติด ที่ท่านต้องฟ้องร้องในครั้งนี้ก็เพราะจำเป็นที่จะต้องทำความจริงให้ปรากฏตามจริงว่า ท่านไม่ได้เป็นอาบัติร้ายแรงคือ“ปาราชิก”อะไรตามที่ถูกใส่ความเลยสักนิด เพื่อเป็นการเคลียร์ตัวท่านเองและส่วนรวมของสุวรรณโคมคำให้ปลอดโปร่งจากปัญหาใดๆในเชิงสังคมและกฎหมายไม่ให้กลับมามีปัญหาได้อีกในอนาคตท่านประสงค์เพียงแค่ได้ทำตามมหาปณิธานเพื่อพระพุทธศาสนาไปจนตลอดชีวิตดั่งตั้งใจเท่านั้น ไม่ได้โกรธเคืองใคร ไม่ได้คิดจะเอาใครเข้าคุกเข้าตารางเลย แต่พวกเราบางคนที่เป็นศิษย์กลับยังคงพยายามไปขวนขวายปิดกั้นเหยียบย่ำ ขัดขวางท่านอยู่อย่างนี้จะถูกต้องหรือ ถ้าหากการฟ้องร้อง 5 คดีนี้สำเร็จลุล่วงเรียบร้อยไปได้ด้วยดี ทุกอย่างก็จบ ก็พบทางออกแก่ทุกฝ่าย สันติสุขก็จะบังเกิดมีสืบไป แต่ถ้าหากการฟ้องร้องในครั้งนี้ยังคงมีกลุ่มคนผู้ไม่หวังดีพยายามขัดขวางปกปิดบิดเบือนพยายามใส่ความ(ฆ่าปิดปาก)ท่านให้หายสูญไปเพื่อสนองกิเลสของพวกตนอีก พระอาจารย์ท่านก็จำเป็นจะต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาจัดการขั้นเด็ดขาดโดยใช้ข้อมูลหลักฐานและพยานที่มีอยู่ในมือท่านพร้อมมูลแล้ว ฟ้องร้องเพิ่มอีกนับเป็นสิบคดีเพื่อทำความจริงให้ปรากฏชัดเจนเสียที บ้านนี้เมืองนี้ยังมีขื่อมีแป จะปล่อยให้พวกคนชั่วที่ไม่รู้จักสำนึกและกลับตัวกลับใจมาครอบงำทำลายสุวรรณโคมคำและส่วนรวมอย่างไร้มโนธรรมไม่ได้อีกต่อไป เพราะส่วนรวมเสียหายมามากนักแล้ว จะปล่อยให้เสียหายไปมากกว่านี้อีกไม่ได้ เพราะจะไม่มีวันฟื้นคืนได้อีกเลย!


คณะศิษย์สุวรรณโคมคำ


15 พฤศจิกายน 2554

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น