เรื่องเล่าจากชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ 2

บรรดาเพื่อนฝูง ตลอดจนน้อง ๆ  ก็ถามกันว่า ทำไมถึงมาเรียนล่ะ  อยากรู้ธรรมะ ทำไมไม่ไปที่วัดล่ะ???

   คำตอบแรกก็คือ ๑. ก็เพราะว่า ถ้าไปที่วัดแล้ว คนมาก  ถึงแม้จะมีการสวดมนต์ร่วมกันก็จริง   แต่ไม่ค่อยเข้าใจว่า มนต์ที่ประเสริฐที่สวดกันอยู่นั้น หมายความว่ายังไง ถึงแม้จะมีคำแปลอยู่  แต่เวลาสวดแล้ว มีบ้างไม่มากก็น้อย ที่จะสวดแบบนกแก้วนกขุนทอง ไม่ได้ซาบซึ้งในรสพระธรรม ตามความประสงค์ของพระสงฆ์ท่านที่ต้องการให้ผู้คนได้พระธรรม กลับไปคิดกลับไปปฏิบัติให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น
   ที่จริงแล้ว   พระท่านไม่ได้สอนให้เรารู้จักแต่อ่านท่องมนต์ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า   ท่านจึงมักจะเทศน์อยู่เสมอว่า ทุกอย่างจะมีทั้งอามิสบูชา  และปฏิบัติบูชา    ผู้เขียนเข้าใจว่า  ท่านคงจะแปลกใจอยู่บ่อยครั้งว่า  เหตุใดชาวพุทธจึงเน้นแต่เรื่องของอามิสบูชาเป็นสำคัญ   แต่เวลาพระท่านสอนให้ปฏิบัติ   เกือบจะทุกคนจะคิดเป็นเสียงเดียวกันว่า "ติดขัดเรื่องเวลา"
   ก่อนที่จะมาเรียนที่ชมรมฯ   ผู้เขียนก็ไม่ได้ต่างไปจากผู้คนโดยมากที่เขียนถึงนี้ เริ่มแรก  ผู้เขียนมักจะให้คำตอบแก่ตัวเองและทุกคนที่คอยถามถึงว่า  ทำไมไม่ไปวัด  ไปสวดมนต์สักหน่อยก็ยังดี  ผู้เขียนจะตอบว่า  เป็นเพราะเวลามีแค่ ๒๔ ชั่วโมง  แบ่งเป็นตั้งแต่เช้า ทำงานบ้าน หุงหาอาหารเช้า (ขอย้ำว่า ทำกับข้าวไม่เป็น จึงใช้คำว่า หาอาหาร)  พอเสร็จก็ไหว้พระไหว้เจ้าที่บ้าน  ก่อนจะออกไปทำงาน  เริ่มงานเช้า เลิกงาน ๑๘.๐๐น.  ยกเว้นเวลาที่มีเค้าว่าฝนจะตกหนัก ก็จะปล่อยลูกน้องกลับบ้านเร็วหน่อย  ช่วงเที่ยงถ้าพอมีเวลา  ทานข้าวเสร็จก็ออกกำลังกายโดยวิ่งอยู่กับที่ ตรงแถวโต๊ะทำงานนั่นแหละ    ส่วนช่วงเย็นก็อาจมีเวลา"อยาก"ไปสวดมนต์ ก็ไปที่วัดใกล้บ้านหน่อย  ( เพราะที่ทำงานกับบ้านอยู่ใกล้กัน )     หรือไม่ก็ เป็นเวลาที่เพื่อนนัดไปทานข้าวเย็นกันบ้าง  ออกกำลังกันบ้าง ไปสวดมนต์ที่วัดกันบ้าง    (รู้สึกว่า พอจบมาหลายปี ก็พอจะมีเวลาเข้าวัดเข้าวาก็ช่วงนี้แหละ)
   แต่พอถึงช่วงเวลาที่นั่งสมาธิปฏิบัติกรรมฐานกัน   ดูจากภายนอกก็แลดูนิ่งกันดี ทั้งเพื่อนทั้งเรา   แต่พอออกจากสมาธิ  จะคอยถามกันว่า เป็นยังไงบ้างจิตสงบหรือเปล่า??     ก็ได้เรื่องทันที!!!
   คุณเธอบอกว่า  ฉันนั่งหลับ...เพราะทำงานมาเหนื่อย ๆ  พอนั่งสมาธิก็เลยหลับ...  (จิตสงบดีเนอะ)  แต่ดูแล้ว ผู้เขียนนั่งนิ่งดีนี่     ผู้เขียนก็เลยบอกไปว่า  ดูนิ่งดีน่ะ  เพราะจับประเด็นเอาจากที่พระท่านสอนเอาว่า  ให้นึกไว้ตลอดว่า เรากำลังนั่งหรือยืน หรือทำอะไรอยู่  เรากำลังนั่งสมาธิอยู่ในท่าไหน  หัวสมองเรากำลังคิดอะไรอยู่  ให้คอยตามความคิดไปเรื่อย ๆ  รอจนมันเหนื่อย แล้วค่อยเข้าไปคุมให้สงบ
   ตอนที่จับประเด็นแล้วลองทำดูน่ะ  มันยาก จริง ๆ    เพราะเห็นภายนอกดูนิ่งสงบ  แต่ภายในมันไม่ได้นิ่งแบบภายนอกน่ะสิ!!!!
   ผู้เขียนบอกว่า  ข้างนอกมันดูนิ่งดี   แต่ภายในนี่ สมองกำลังโลดแล่น  คิดไปโน่นคิดไปนี่  ขนาดมีคำบริกรรม "พุทโธ" คอยกำกับอยู่นะนี่   ถ้าไม่มี  จะเป็นยังไง   ฟุ้งซ่านแน่นอน!!!!
   จะถามใครก็ไม่ได้   ได้แต่คอยอ่านหนังสือ และอ่านจากการถาม-ตอบกันในเน็ตบ้างเท่านั้น
   ดังนั้น  พอมีคนถามขึ้นมา ก็เลยบอกว่า  เป็นเพราะอยากให้ความรู้เพิ่มขึ้น   เวลาไม่รู้ในเรื่องใด  ก็จะได้ มีครูคอยสอนภาคปฏิบัติ
   ๒.เนื่องจาก เรียนวิชาโหราศาสตร์จากคุณครูที่โรงเรียนสารพัดช่าง  แล้วคุณครูก็แนะนำให้ไปเรียนที่ชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ    ก็เลือกเรียนทั้งสองวิชาเลยสิ    ดีเสียอีก ได้ทั้งธรรมะ ได้ทั้งวิชา  (สบายเรา  เรียนแค่อาทิตย์ละวัน    จัดสรรเวลาได้ลงตัว)  ได้ทั้ง ทฤษฎี และปฏิบัติ
   ได้ทั้งทฤษฎี และปฏิบัติอย่างไร?ฮืม
       หลังจากตอบโจทย์ (โจทก์) จากบรรดาเพื่อนฝูงพี่น้อง
   เมื่อเข้าสู่ชั้นเรียน  หลังจบพิธีไหว้บรมครูสัมมาสัมพุทธเจ้า
   คุณครุผู้สอนได้ทำข้อตกลงกับเราในเรื่อง การละมละ (มลทิน ๙ อย่าง)  แล้ว เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจและปฏิบัติตัวได้ตรงกัน   คุณครูผู้สอนจะสอน..

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น